
« ที่จริง พระเยซูยังทำอะไรอีกมากมาย ถ้าจะเขียนไว้ทั้งหมดละก็ ผมคิดว่าโลกนี้คงไม่มีที่พอจะเก็บม้วนหนังสือทั้งหมดนั้นได้ » (จอห์น 21:25)
พระเยซูคริสต์และการอัศจรรย์ครั้งแรกที่เขียนไว้ในข่าวประเสริฐของยอห์น พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น: « องวันต่อมา มีงานแต่งงานที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลี แม่ของพระเยซูก็อยู่ในงานเลี้ยงนั้น พระเยซูกับพวกสาวกได้รับเชิญให้ไปร่วมงานด้วย เมื่อเหล้าองุ่นใกล้หมด แม่ของพระเยซูมาบอกท่านว่า “ทำยังไงดี เหล้าองุ่นจะหมดแล้ว?” แต่พระเยซูตอบเธอว่า “เราอย่าไปกังวลเลยแม่ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของผม” แม่ของท่านจึงบอกพวกคนรับใช้ว่า “พวกคุณคอยทำตามที่เขาสั่งนะ” ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่ 6 ใบเพื่อใช้ในพิธีชำระล้างตามกฎของชาวยิว แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณ 2 หรือ 3 ถัง พระเยซูบอกพวกคนรับใช้ว่า “เอาน้ำใส่โอ่งให้เต็ม” พวกเขาก็เอาน้ำใส่จนเต็มถึงปากโอ่ง แล้วท่านสั่งอีกว่า “ตักไปให้ผู้ดูแลงานเลี้ยงสิ” พวกเขาก็ทำตาม ตอนที่ผู้ดูแลงานเลี้ยงชิมน้ำนั้น มันกลายเป็นเหล้าองุ่นไปแล้ว เขาไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่พวกคนรับใช้รู้ ผู้ดูแลงานเลี้ยงเรียกเจ้าบ่าวมา และพูดกับเขาว่า “ใคร ๆ เขาก็เอาเหล้าองุ่นดี ๆ มาให้ดื่มก่อน เมื่อแขกเมาแล้วค่อยเอาที่ไม่ค่อยดีมาให้ แต่คุณกลับเก็บเหล้าองุ่นดี ๆ ไว้จนถึงตอนนี้” พระเยซูทำการอัศจรรย์ครั้งแรกนี้ที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลี เพื่อเป็นหลักฐานบอกฐานะและอำนาจของท่าน ทำให้พวกสาวกมีความเชื่อในตัวท่าน » (ยอห์น 2:1-11)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาบุตรผู้รับใช้ของกษัตริย์: « แล้วพระเยซูก็ไปที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลีซึ่งเป็นเมืองที่ท่านเคยเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น มีข้าราชการคนหนึ่งในเมืองคาเปอร์นาอุมที่ลูกชายป่วยอยู่ เมื่อข้าราชการคนนั้นได้ข่าวว่าพระเยซูออกจากแคว้นยูเดียมาที่แคว้นกาลิลี เขาก็เดินทางมาหาท่านและขอให้ไปรักษาลูกชายของเขาที่กำลังจะตาย แต่พระเยซูบอกเขาว่า “พวกคุณที่อยู่ในแถบนี้ไม่เชื่อผมหรอก ถ้าไม่ได้เห็นการอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ก่อน” ข้าราชการคนนั้นอ้อนวอนท่านว่า “ท่านครับ ช่วยไปกับผมด้วยเถอะ ไม่อย่างนั้นลูกของผมตายแน่” พระเยซูบอกเขาว่า “กลับไปเถอะ ลูกชายของคุณหายดีแล้ว” เขาเชื่อคำพูดของท่านแล้วก็ไป ระหว่างทาง ทาสของเขามาส่งข่าวว่าลูกชายหายเป็นปกติแล้ว เขาจึงถามว่าลูกชายเขาหายป่วยตั้งแต่เมื่อไร พวกทาสตอบว่า “ลูกชายท่านหายไข้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ตอนบ่ายโมง ครับ” พ่อของเด็กจึงรู้ว่าเป็นเวลาเดียวกับที่พระเยซูพูดว่า “ลูกชายของคุณหายดีแล้ว” ตัวเขาและทุกคนในบ้านจึงเชื่อในพระเยซู นี่เป็นการอัศจรรย์ครั้งที่สอง ซึ่งพระเยซูทำที่แคว้นกาลิลีหลังออกจากแคว้นยูเดีย » (ยอห์น 4:46-54)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาชายที่ถูกผีสิงในเมืองคาเปอรนาอุม: « พระเยซูไปที่เมืองคาเปอร์นาอุมในแคว้นกาลิลี และสอนประชาชนในวันสะบาโต คนที่ได้ฟังก็รู้สึกทึ่งกับวิธีสอนของพระเยซู เพราะท่านสอนแบบคนที่ได้รับอำนาจจากพระเจ้า ในที่ประชุมนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกปีศาจร้ายสิงอยู่ เขาตะโกนเสียงดังว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ มายุ่งกับพวกเราทำไม? จะมาทำลายพวกเราหรือไง? เรารู้นะว่าท่านเป็นใคร ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า” แต่พระเยซูห้ามมันว่า “เงียบ! ออกไปจากเขาเดี๋ยวนี้” ปีศาจก็ทำให้คนนั้นล้มลงกลางฝูงชนแล้วออกไปจากเขาโดยไม่ได้ทำอันตราย ทุกคนประหลาดใจและพูดกันว่า “อะไรกันนี่? คำพูดของเขามีพลังอำนาจถึงขนาดสั่งปีศาจร้ายให้ออกมาได้เลยหรือ?” เรื่องของพระเยซูก็เล่าลือไปทั่วแถบนั้น » (ลูกา 4:31-37)
พระเยซูคริสต์ทรงขับผีออกในดินแดนแห่งกาดารีน (ปัจจุบันคือจอร์แดน ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ใกล้ทะเลสาบทิเบเรียส): « แล้วพระเยซูก็ไปถึงอีกฝั่งหนึ่งในเขตแดนของชาวกาดารา ที่นั่นมีผู้ชาย 2 คนที่ถูกปีศาจสิง พวกเขาออกมาจากสุสานและมาเจอท่าน สองคนนี้ดุร้ายมากจนไม่มีใครกล้าเดินผ่านทางนั้นเลย พวกเขาร้องโวยวายว่า “ลูกของพระเจ้า มายุ่งกับพวกเราทำไม? จะมาทรมานพวกเรา ก่อนเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้หรือ?” ไกลจากที่นั่นพอสมควร มีหมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ ปีศาจพวกนั้นจึงขอร้องพระเยซูว่า “ถ้าจะขับไล่พวกเราออกไป ขอให้พวกเราไปเข้าสิงในหมูฝูงนั้นแทนเถอะ” ท่านบอกพวกมันว่า “ไปสิ” พวกมันก็ออกไปเข้าสิงในหมูพวกนั้น แล้วหมูทั้งฝูงก็กระโดดจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบและจมน้ำตายหมด ส่วนคนเลี้ยงหมูก็วิ่งหนีเข้าไปในเมือง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ชาวเมืองฟัง รวมทั้งเรื่องผู้ชายสองคนที่ถูกปีศาจสิงด้วย คนทั้งเมืองจึงมาหาพระเยซู เมื่อเจอท่านแล้ว พวกเขาก็ขอให้ท่านออกไปจากเขตแดนของเขา » (มัทธิว 8:28-34)
พระเยซูคริสต์รักษาแม่เลี้ยงของอัครสาวกเปโตร: « ตอนที่พระเยซูมาถึงบ้านของเปโตร ท่านเห็นแม่ยายของเขา นอนป่วยเป็นไข้อยู่ พระเยซูจึงแตะมือเธอ เธอก็หายไข้แล้วลุกขึ้นมารับใช้ท่าน » (มัทธิว 8:14,15)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาชายคนหนึ่งที่มือเป็นอัมพาต: « วันสะบาโตอีกวันหนึ่ง พระเยซูเข้าไปสอนในที่ประชุมของชาวยิว มีผู้ชายคนหนึ่งที่มือขวาลีบอยู่ที่นั่นด้วย พวกครูสอนศาสนากับพวกฟาริสีคอยจ้องจับผิดพระเยซูว่าจะรักษาโรคในวันสะบาโตไหม แต่ท่านรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ จึงพูดกับคนมือลีบว่า “ลุกขึ้นมายืนข้างหน้านี้หน่อย” เขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วพระเยซูพูดกับพวกนั้นว่า “ขอถามหน่อย ตามกฎวันสะบาโต ควรทำดีหรือทำชั่ว ควรช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต?” พระเยซูกวาดสายตามองผู้คนที่อยู่รอบ ๆ แล้วพูดกับผู้ชายมือลีบว่า “เหยียดมือออกมาสิ” เขาก็เหยียดมือออก และมือที่ลีบก็หายเป็นปกติ พวกครูสอนศาสนากับพวกฟาริสีโกรธแค้นมากและปรึกษากันว่าจะจัดการกับพระเยซูอย่างไร » (ลูกา 6:6-11)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาชายที่มีอาการท้องมาน (อาการบวมน้ำ การสะสมของของเหลวในร่างกายมากเกินไป): « ครั้งหนึ่งในวันสะบาโต พระเยซูไปกินอาหารที่บ้านของผู้นำฟาริสีคนหนึ่ง คนที่นั่นคอยจับตาดูท่านอยู่ มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นโรคบวมน้ำอยู่ตรงหน้าพระเยซูด้วย พระเยซูจึงถามพวกที่เชี่ยวชาญกฎหมายของโมเสสและพวกฟาริสีว่า “ผิดไหมถ้าจะรักษาโรคในวันสะบาโต?” แต่พวกเขาไม่ตอบอะไร พระเยซูจึงวางมือบนผู้ชายคนนั้น รักษาเขา และให้เขากลับไป แล้วท่านหันมาถามพวกเขาว่า “ถ้าลูกชายหรือวัวของคุณตกบ่อ ในวันสะบาโต คุณจะไม่รีบดึงขึ้นมาหรือ?” พวกเขาก็พูดไม่ออก » (ลูกา 14:1-6)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาชายตาบอด: « เมื่อพระเยซูเดินทางใกล้ถึงเมืองเยรีโค มีผู้ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง เมื่อเขาได้ยินเสียงคนมากมายเดินผ่านไป เขาก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนบอกเขาว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธกำลังผ่านมาทางนี้” เขาจึงร้องว่า “ท่านเยซู ลูกหลานดาวิด ขอเมตตาผมด้วย” คนที่เดินอยู่ข้างหน้าจึงบอกเขาให้เงียบ แต่เขากลับร้องตะโกนดังขึ้นอีกว่า “ท่านผู้เป็นลูกหลานดาวิดครับ ขอเมตตาผมด้วย” พระเยซูจึงหยุดเดินและสั่งให้พาคนนั้นมาหา แล้วท่านก็ถามเขาว่า “มีอะไรให้ผมช่วยไหม?” เขาตอบว่า “นายท่าน ช่วยทำให้ผมมองเห็นด้วยเถอะ” พระเยซูจึงบอกเขาว่า “ได้สิ มองเห็นเถอะ ความเชื่อของคุณทำให้คุณหายเป็นปกติแล้ว” ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้ แล้วเดินตามพระเยซูไป พร้อมกับสรรเสริญพระเจ้า เมื่อประชาชนเห็นอย่างนั้นก็พากันสรรเสริญพระเจ้าด้วย » (ลูกา 18:35-43)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาคนตาบอดสองคน: « เมื่อพระเยซูเดินทางต่อไปก็มีผู้ชายตาบอด 2 คน เดินตามท่านและร้องว่า “ท่านผู้เป็นลูกหลานดาวิดครับ ขอเมตตาพวกเราด้วย” พอพระเยซูเข้าไปในบ้าน ผู้ชายตาบอดสองคนนั้นก็ตามเข้าไป ท่านจึงถามพวกเขาว่า “คุณเชื่อจริง ๆ หรือว่าผมทำให้คุณมองเห็นได้?” ทั้งสองตอบว่า “เชื่อครับท่าน” พระเยซูจึงแตะที่ตาพวกเขา และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นไปตามที่คุณเชื่อเถอะ” แล้วพวกเขาก็มองเห็น และพระเยซูสั่งพวกเขาว่า “อย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้” แต่เมื่อพวกเขาออกไปแล้วก็เล่าเรื่องของท่านจนลือกันไปทั่วเขตนั้น » (มัทธิว 9:27-31)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาคนหูหนวก: “พระเยซูออกจากบริเวณเมืองไทระ แล้วเดินทางผ่านเมืองไซดอน ผ่านเขตเดคาโปลิส จนถึงทะเลสาบกาลิลี ที่นั่น มีคนพาผู้ชายคนหนึ่งที่หูหนวกและพูดไม่ค่อยได้มาหาท่าน และขอร้องท่านให้วางมือบนเขา พระเยซูจึงพาเขาแยกออกมาจากฝูงชน แหย่นิ้วมือเข้าไปในหูทั้งสองข้างของเขา บ้วนน้ำลาย แล้วเอามาแตะที่ลิ้นของเขา ท่านเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับถอนหายใจยาว ๆ และพูดกับเขาว่า “เอฟฟาธา” ซึ่งแปลว่า “เปิดออก” หูเขาก็ได้ยินทันที ลิ้นเขาก็ไม่ติดขัด และเริ่มพูดได้เป็นปกติ พระเยซูสั่งทุกคนไม่ให้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่ยิ่งห้าม พวกเขาก็ยิ่งบอกเรื่องนี้ไปทั่ว พวกเขารู้สึกทึ่ง และพูดกันว่า “คนคนนี้ทำแต่เรื่องดี ๆ ขนาดคนหูหนวกเขายังทำให้ได้ยินและคนใบ้เขาก็ทำให้พูดได้”” (มาระโก 7:31-37)
พระเยซูคริสต์รักษาคนโรคเรื้อน: « มีคนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระเยซู เขาถึงกับคุกเข่าลงอ้อนวอนท่านว่า “เพียงแค่ท่านอยากช่วย ท่านก็จะรักษาผมได้” พระเยซูรู้สึกสงสารเขา จึงยื่นมือออกสัมผัสตัวเขาและพูดว่า “ผมอยากช่วย หายโรคเถอะ” แล้วเขาก็หายจากโรคเรื้อนทันที » (มาระโก 1:40-42)
การรักษาคนโรคเรื้อนสิบคน: « ตอนที่พระเยซูเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็ม ท่านใช้เส้นทางที่อยู่ระหว่างแคว้นสะมาเรียกับแคว้นกาลิลี เมื่อพระเยซูเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนโรคเรื้อน 10 คนเห็นท่าน แต่พวกเขายืนอยู่ห่าง ๆ และร้องตะโกนว่า “อาจารย์เยซู ขอเมตตาพวกเราด้วย” เมื่อพระเยซูเห็นพวกเขาก็พูดว่า “ไปหาปุโรหิตแล้วให้พวกเขาตรวจดู” และตอนที่อยู่กลางทางนั้นเอง พวกเขาก็หายโรค คนหนึ่งในนั้น เมื่อเห็นว่าหายโรคแล้ว ก็ย้อนกลับมาพร้อมกับสรรเสริญพระเจ้าเสียงดัง เขาหมอบลงที่เท้าของพระเยซูและขอบคุณท่าน ผู้ชายคนนี้เป็นคนสะมาเรีย พระเยซูถามว่า “มีตั้ง 10 คนหายโรคไม่ใช่หรือ? แล้วอีก 9 คนอยู่ไหนล่ะ? ไม่มีใครกลับมาสรรเสริญพระเจ้าเลยหรือนอกจากคนนี้ที่เป็นคนต่างชาติ?” แล้วท่านบอกเขาว่า “ลุกขึ้นกลับไปเถอะ ความเชื่อของคุณทำให้คุณหายโรคแล้ว” » (ลูกา 17:11-19)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาอัมพาต: « หลังจากนั้น มีเทศกาล ของชาวยิว และพระเยซูไปที่กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้ ๆ ประตูแห่งหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มที่ชื่อประตูแกะ มีสระน้ำที่เรียกในภาษาฮีบรูว่าเบธซาธา ซึ่งมีระเบียงทางเดิน 5 ระเบียง มีคนมากมายที่ป่วย ตาบอด ขาพิการ และแขนขาลีบ มานอนอยู่ที่ระเบียง ที่นั่นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ป่วยมา 38 ปีแล้ว เมื่อพระเยซูเห็นเขานอนอยู่และรู้ว่าเขาป่วยมานาน ท่านจึงพูดกับเขาว่า “คุณอยากหายป่วยไหม?” ผู้ชายที่ป่วยนั้นตอบว่า “คุณครับ ไม่มีใครช่วยพาผมลงไปในสระเลยตอนที่น้ำกระเพื่อม พอผมจะลงไป คนอื่นก็แย่งลงไปก่อน” พระเยซูบอกเขาว่า “ลุกขึ้น เก็บเสื่อ*ขึ้นมา แล้วเดินไปเถอะ” ผู้ชายคนนั้นก็หายป่วยทันที แล้วเขาก็เก็บเสื่อ*ของเขาและเดินไป » (ยอห์น 5:1-9)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาโรคลมบ้าหมู: “เมื่อพระเยซูกับสาวกทั้งสามเดินมาตรงที่ฝูงชนอยู่ ผู้ชายคนหนึ่งก็เข้ามาหาท่านและคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า “นายท่าน ขอเมตตาลูกชายผมด้วย เขาป่วยเป็นโรคลมชัก เขาชักจนตกลงไปในน้ำและในกองไฟบ่อย ๆ ผมพาเขามาหาสาวกของท่านแล้ว แต่พวกเขารักษาไม่ได้” พระเยซูพูดว่า “คนสมัยนี้ขาดความเชื่อและไม่มีศีลธรรม ผมจะต้องอยู่กับพวกคุณอีกนานแค่ไหน? จะต้องทนกับพวกคุณไปอีกนานเท่าไหร่? ไหน พาเด็กมาที่นี่สิ” แล้วพระเยซูสั่งให้ปีศาจออกจากเด็ก และมันก็ออกไป ในตอนนั้นเอง เด็กผู้ชายคนนั้นก็หายโรค หลังจากนั้น พวกสาวกเข้ามาคุยกับพระเยซูเป็นส่วนตัวและถามว่า “ทำไมพวกผมขับไล่ปีศาจตนนั้นไม่ได้ล่ะครับ?” ท่านตอบพวกเขาว่า “ก็เพราะพวกคุณมีความเชื่อน้อย ผมจะบอกให้รู้ว่า ถ้าคุณมีความเชื่อขนาดเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘ย้ายจากที่นี่ไปที่นั่น’ มันก็จะไป จะไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้เลย”” (มัทธิว 17:14-20)
พระเยซูคริสต์ทรงทำการอัศจรรย์โดยไม่รู้ตัว: « ตอนที่พระเยซูกำลังไปที่นั่น ฝูงชนเบียดเสียดท่าน ตอนนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอาการตกเลือด มา 12 ปีแล้ว และไม่มีใครรักษาเธอได้ เธอแอบเข้ามาข้างหลังแล้วแตะชายเสื้อชั้นนอกของพระเยซู ทันใดนั้นเลือดก็หยุดไหล พระเยซูถามว่า “ใครมาถูกตัวผม?” เมื่อทุกคนปฏิเสธ เปโตรจึงบอกว่า “อาจารย์ มีคนมากมายเบียดเสียดท่านอยู่ไม่ใช่หรือครับ?” แต่พระเยซูพูดว่า “มีคนถูกตัวผมแน่ ๆ เพราะผมรู้สึกได้ว่าพลัง ออกจากตัว” พอผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าหลบไม่พ้นแน่ ก็กลัวจนตัวสั่นและหมอบลงต่อหน้าท่าน แล้วเธอก็บอกทุกคนให้รู้ว่าทำไมเธอถึงได้ถูกตัวพระเยซูและเธอหายโรคทันทีได้อย่างไร พระเยซูก็พูดกับเธอว่า “ความเชื่อของลูกทำให้ลูกหายโรคแล้ว ขอให้สบายใจเถอะ” » (ลูกา 8:42-48)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาจากระยะไกล: « มื่อพระเยซูสอนประชาชนเสร็จแล้ว ก็เข้าไปในเมืองคาเปอร์นาอุม ที่นั่นมีนายร้อยคนหนึ่งที่ทาสของเขาป่วยหนักใกล้ตาย และเขารักทาสคนนี้มาก เมื่อนายร้อยได้ยินเรื่องพระเยซู เขาก็ส่งผู้นำชุมชนชาวยิวบางคนไปขอให้พระเยซูมาช่วยรักษาทาสของเขา พวกเขามาหาพระเยซูและอ้อนวอนว่า “นายท่าน ขอไปช่วยเขาหน่อยเถอะครับ เพราะเขารักคนในชาติเราและสร้างที่ประชุมให้พวกเราด้วย” พระเยซูจึงไปกับพวกเขา แต่เมื่อเดินทางเกือบจะถึงบ้านของนายร้อย เขาก็ส่งเพื่อน ๆ มาบอกพระเยซูว่า “ท่านครับ อย่าลำบากเลย ผมไม่ดีพอที่จะให้ท่านเข้ามาในบ้านผมหรอก และผมก็คิดว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะไปหาท่านด้วย ขอให้ท่านสั่งมาก็พอ แล้วคนใช้ของผมก็จะหาย อย่างผมเองก็มีเจ้านายที่สั่งผมและมีลูกน้องที่ผมสั่งได้ด้วย ถ้าผมสั่งคนหนึ่งว่า ‘ไป’ เขาก็ไป หรือสั่งอีกคนหนึ่งว่า ‘มา’ เขาก็มา หรือสั่งทาสของผมให้ไปทำนั่นทำนี่ เขาก็ทำตาม” เมื่อได้ยินอย่างนั้น พระเยซูก็แปลกใจมาก และหันไปพูดกับผู้คนที่ตามท่านมาว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า ผมไม่เคยเจอใครที่มีความเชื่อมากขนาดนี้เลย แม้แต่คนอิสราเอลเองก็เถอะ” เมื่อพวกเพื่อน ๆ ที่ถูกส่งมากลับไปถึงบ้านนายร้อย ก็เห็นว่าทาสคนนั้นหายดีแล้ว » (ลูกา 7:1-10)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาผู้หญิงที่มีความทุพพลภาพเป็นเวลา 18 ปี: « ตอนที่พระเยซูสอนอยู่ในที่ประชุมของชาวยิวในวันสะบาโต มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกปีศาจสิงทำให้ป่วยและหลังค่อมมา 18 ปีแล้ว เธอยืดตัวตรงไม่ได้เลย เมื่อพระเยซูเห็นเข้า ก็พูดกับเธอว่า “คุณหายป่วยแล้ว” ท่านวางมือบนผู้หญิงคนนั้น เธอก็ยืดตัวตรงได้ทันทีแล้วสรรเสริญพระเจ้า แต่หัวหน้าที่ประชุมแห่งนั้นไม่พอใจ เพราะพระเยซูรักษาโรคในวันสะบาโต เขาจึงบอกกับประชาชนที่นั่นว่า “มีตั้ง 6 วันที่จะทำงานได้ มารักษาใน 6 วันนั้นเถอะ+ อย่ามารักษาในวันสะบาโตเลย” พระเยซูบอกเขาว่า “พวกสองมาตรฐาน+ พวกคุณแต่ละคนแก้เชือกให้วัวหรือลาของตัวเอง แล้วจูงมันไปกินน้ำในวันสะบาโตไม่ใช่หรือ? แล้วผู้หญิงคนนี้ที่เป็นลูกหลานของอับราฮัม และถูกซาตานมัดไว้ถึง 18 ปี ไม่ควรหรือที่จะปลดปล่อยเธอในวันสะบาโต?” คำพูดของพระเยซูทำให้คนที่ต่อต้านรู้สึกอับอายขายหน้า แต่ประชาชนกลับชื่นชมในสิ่งดี ๆ ที่ท่านทำ » (ลูกา 13:10-17)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาลูกสาวของหญิงชาวฟินีเซียน: « พระเยซูออกจากที่นั่น แล้วก็เดินทางไปบริเวณเมืองไทระและเมืองไซดอน มีผู้หญิงชาวฟีนิเซีย*คนหนึ่งจากแถบนั้นมาหาพระเยซูและร้องอ้อนวอนว่า “ท่านผู้เป็นลูกหลานดาวิด ขอเมตตาดิฉันด้วย ลูกสาวของดิฉันถูกปีศาจสิง เธอเจ็บปวดทรมานมาก” แต่พระเยซูไม่ตอบเธอเลยสักคำ พวกสาวกเข้ามาบอกท่านว่า “ไล่เธอไปเถอะ เพราะเธอตะโกนตามตื๊อเราไม่หยุด” พระเยซูบอกว่า “พระเจ้าส่งผมมาหาเฉพาะคนอิสราเอลเท่านั้น พวกเขาเป็นเหมือนแกะที่หลงหาย” แต่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาคำนับท่าน*และบอกว่า “นายท่าน ช่วยดิฉันด้วยเถอะ” พระเยซูพูดว่า “มันไม่ถูกหรอกนะที่จะเอาอาหารของลูก ๆ ไปโยนให้ลูกหมา” เธอบอกว่า “จริงค่ะท่าน แต่ลูกหมาก็ยังได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนายมันไม่ใช่หรือคะ?” พระเยซูจึงตอบผู้หญิงคนนั้นว่า “คุณนี่มีความเชื่อมากจริง ๆ ให้เป็นไปตามที่คุณขอเถอะ” แล้วตอนนั้นเอง ลูกสาวของเธอก็หายเป็นปกติ » (มัทธิว 15:21-28)
พระเยซูคริสต์ทรงหยุดพายุ: “ครั้งหนึ่ง พระเยซูลงเรือไปกับพวกสาวก แล้วเกิดพายุใหญ่ในทะเลสาบ คลื่นซัดจนน้ำท่วมเรือ แต่พระเยซูก็ยังนอนหลับอยู่ พวกสาวกจึงมาปลุกท่านและบอกว่า “นายครับ ช่วยชีวิตพวกเราด้วย พวกเรากำลังจะตายกันอยู่แล้ว” แต่ท่านบอกพวกเขาว่า “ทำไมต้องกลัว พวกคุณมีความเชื่อน้อยจริง ๆ” แล้วท่านก็ลุกขึ้นสั่งคลื่นลมให้สงบ และทุกอย่างก็สงบนิ่ง พวกเขาจึงแปลกใจมากและพูดกันว่า “ท่านเป็นใครกัน? แม้แต่ลมและทะเลก็ยังเชื่อฟังท่านเลย”” (มัทธิว 8:23-27)
พระเยซูคริสต์ทรงดำเนินบนทะเล: « เมื่อผู้คนไปกันหมดแล้ว พระเยซูขึ้นไปอธิษฐานบนภูเขาคนเดียว พอถึงตอนค่ำ ท่านก็ยังอยู่ที่นั่นตามลำพัง ตอนนั้น เรือของสาวกออกไปไกลจากฝั่งหลายร้อยเมตรแล้ว และแล่นฝ่าคลื่นทวนลมอยู่ ในยาม 4 ของคืนนั้น พระเยซูเดินบนน้ำมาหาพวกเขา เมื่อพวกสาวกเห็นคนเดินบนน้ำ ก็ตกใจกลัวและพูดกันว่า “นั่นอะไรน่ะ!” แล้วพวกเขาก็ร้องเสียงหลงด้วยความหวาดกลัว แต่พระเยซูรีบบอกพวกเขาว่า “ไม่ต้องตกใจ นี่ผมเอง ไม่ต้องกลัว” เปโตรพูดกับท่านว่า “อาจารย์ ถ้าเป็นท่านจริง ๆ ขอให้ผมเดินบนน้ำไปหาท่านได้ไหมครับ?” พระเยซูพูดว่า “มาสิ” เปโตรก็ลงจากเรือแล้วเดินบนน้ำไปหาท่าน แต่เมื่อมองที่พายุ เขาก็กลัวและเริ่มจะจม เขาร้องตะโกนว่า “อาจารย์ ช่วยผมด้วย!” พระเยซูรีบยื่นมือจับเปโตรไว้และพูดว่า “คนมีความเชื่อน้อย ทำไมต้องสงสัยด้วย?” และเมื่อพระเยซูกับเปโตรขึ้นมาอยู่บนเรือแล้ว พายุก็สงบลง สาวกที่อยู่ในเรือจึงหมอบลงแสดงความเคารพ และพูดว่า “อาจารย์ ท่านเป็นลูกของพระเจ้าจริง ๆ” » (มัทธิว 14:23-33)
การประมงปาฏิหาริย์: « วันหนึ่ง เมื่อพระเยซูยืนอยู่ริมทะเลสาบเยนเนซาเรท มีคนมากมายเบียดเสียดท่านเพื่อฟังคำสอนของพระเจ้า พอท่านเห็นเรือ 2 ลำจอดอยู่ริมทะเลสาบและชาวประมงขึ้นจากเรือเพื่อซักอวน ท่านก็ลงเรือลำหนึ่งที่เป็นของซีโมน และขอให้เขาเอาเรือออกจากฝั่งเล็กน้อย ท่านนั่งลงและเริ่มสอนประชาชนจากบนเรือ พอสอนเสร็จ พระเยซูก็บอกซีโมนว่า “เอาเรือออกไปตรงที่น้ำลึกหน่อย แล้วหย่อนอวนลงจับปลา” แต่ซีโมนบอกว่า “อาจารย์ครับ พวกเราเหนื่อยมาทั้งคืนแต่ไม่ได้ปลาเลย แต่ผมจะลองหย่อนอวนอีกทีตามที่ท่านบอกก็ได้” พอพวกเขาหย่อนอวนลง ก็จับปลาได้มากมายจนอวนเริ่มจะขาด พวกเขาจึงโบกมือเรียกเพื่อน ๆ ในเรืออีกลำให้มาช่วย แล้วพวกเขาก็ได้ปลาเต็มเรือทั้งสองลำจนเรือแทบจะจม เมื่อซีโมนเปโตรเห็นอย่างนี้ก็ทรุดลงกราบที่เข่าของพระเยซูและพูดว่า “นายครับ อย่าอยู่ใกล้ผมเลย ผมเป็นคนบาป” ที่พูดอย่างนั้นเพราะตัวเขากับเพื่อน ๆ ตกตะลึงที่จับปลาได้มากขนาดนั้น ยากอบกับยอห์น ลูกของเศเบดี ที่เป็นหุ้นส่วนกับซีโมนก็ตกตะลึงเหมือนกัน แต่พระเยซูบอกซีโมนว่า “ไม่ต้องกลัว ต่อไปนี้คุณจะไปหาคนแทนที่จะหาปลา” พอเอาเรือกลับเข้าฝั่งแล้ว พวกเขาก็ทิ้งทุกอย่างและตามท่านไป » (ลูกา 5:1-11)
พระเยซูคริสต์ทวีขนมปัง: « หลังจากนั้น พระเยซูนั่งเรือข้ามทะเลสาบกาลิลีหรือที่เรียกกันว่าทิเบเรียส มีคนมากมายตามท่านไป เพราะพวกเขาเห็นท่านรักษาคนป่วยอย่างอัศจรรย์ พระเยซูขึ้นไปบนภูเขาและนั่งลงกับพวกสาวก 4 ตอนนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกา ของชาวยิวแล้ว เมื่อพระเยซูเงยหน้าและเห็นคนมากมายมาหา ท่านจึงถามฟีลิปว่า “พวกเราจะหาซื้อขนมปังจากที่ไหนดีถึงจะพอเลี้ยงคนทั้งหมดนี้ได้?” ที่พระเยซูพูดอย่างนั้นก็เพื่อทดสอบเขา เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าจะทำอย่างไร ฟีลิปตอบท่านว่า “ต่อให้มีเงิน 200 เดนาริอัน*ก็ยังไม่พอซื้อขนมปังให้พวกเขากินกันคนละนิดละหน่อยเลย” สาวกอีกคนหนึ่งชื่ออันดรูว์ที่เป็นพี่น้องกับซีโมนเปโตรบอกพระเยซูว่า “เด็กคนนี้มีขนมปังบาร์เลย์ 5 อันกับปลาเล็ก ๆ 2 ตัว แต่แค่นี้คงไม่พอเลี้ยงคนมากขนาดนี้หรอก” พระเยซูจึงสั่งพวกสาวกว่า “บอกให้พวกเขานั่งลง” ทุกคนก็นั่งลงเพราะที่นั่นเป็นพื้นหญ้า คนที่อยู่ที่นั่นมีผู้ชายประมาณ 5,000 คน พระเยซูหยิบขนมปังมา อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า แล้วแจกจ่ายให้ทุกคนที่นั่งอยู่ และท่านก็แจกจ่ายปลาด้วย ทุกคนได้กินจนอิ่ม เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้ว ท่านสั่งพวกสาวกว่า “เก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ จะได้ไม่เสียของ” พวกสาวกก็เก็บเศษที่เหลือจากขนมปังบาร์เลย์ 5 อันนั้นได้ 12 ตะกร้าเต็ม ๆเมื่อประชาชนเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ พวกเขาก็พูดกันว่า “ท่านนี้เป็นผู้พยากรณ์คนนั้นที่จะมาในโลกแน่ ๆ” พอพระเยซูรู้ว่าพวกเขาพยายามจะตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ ท่านก็ปลีกตัวไป อยู่ที่ภูเขาคนเดียว » (ยอห์น 6:1-15) จะมีอาหารมากมายทั่วโลก (สดุดี 72:16; อิสยาห์ 30:23)
ปาฏิหาริย์นี้แสดงให้เห็นว่าในโลกใหม่จะไม่มีพายุหรืออุทกภัยที่จะก่อให้เกิดภัยพิบัติอีกต่อไป พระเยซูคริสต์ คืนชีพ บุตรชายของหญิงม่าย: « จากนั้นไม่นาน พระเยซูเดินทางไปที่เมืองนาอิน พวกสาวกกับคนกลุ่มใหญ่ก็ตามไปด้วย เมื่อใกล้จะถึงประตูเมือง มีคนหามศพผู้ชายคนหนึ่งสวนทางออกมา คนตายนั้นเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ม่าย มีคนมากมายจากเมืองนั้นมากับเธอด้วย เมื่อพระเยซูเห็นแม่ม่ายคนนั้นก็สงสาร จึงพูดกับเธอว่า “อย่าร้องไห้เลย” แล้วท่านเข้าไปใกล้และแตะแคร่นั้น คนที่หามแคร่ก็หยุด และท่านพูดว่า “หนุ่มน้อย ผมขอบอกให้คุณลุกขึ้น” คนตายนั้นก็ลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มพูด พระเยซูจึงมอบเขาให้แม่ ทุกคนก็กลัว แล้วพากันสรรเสริญพระเจ้าว่า “มีผู้พยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่มาอยู่ในหมู่พวกเราแล้ว” และพูดว่า “พระเจ้าหันมาสนใจประชาชนของพระองค์แล้ว” ชื่อเสียงของพระเยซูก็เลื่องลือไปทั่วแคว้นยูเดียและทั่วแถบนั้น” (ลูกา 7:11-17)
พระเยซูคริสต์ฟื้นคืนชีพลูกสาวของไยรัส: « พระเยซูพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีคนจากบ้านของไยรอสมาบอกเขาว่า “ลูกสาวคุณตายแล้ว คงไม่ต้องรบกวนอาจารย์แล้วล่ะ” เมื่อพระเยซูได้ยินอย่างนั้น จึงบอกไยรอสว่า “ไม่ต้องกลัว ขอให้เชื่อเถอะ ลูกสาวคุณจะไม่เป็นอะไร” เมื่อไปถึงบ้านของเขา พระเยซูไม่ให้ใครตามเข้าไปด้วยนอกจากเปโตร ยอห์น ยากอบ และพ่อแม่ของเด็ก ตอนนั้น ผู้คนพากันร้องไห้คร่ำครวญที่เด็กตาย พระเยซูจึงพูดว่า “หยุดร้องไห้เถอะ เด็กคนนี้ไม่ได้ตาย แต่นอนหลับอยู่” พวกเขาก็หัวเราะเยาะเพราะรู้ว่าเด็กตายแล้วจริง ๆ พระเยซูจับมือเด็กและพูดว่า “หนูน้อย ลุกขึ้นมาเถอะ” เด็กคนนั้นก็กลับมีชีวิตอีก และลุกขึ้นมาทันที แล้วพระเยซูก็บอกให้พวกเขาเอาอาหารมาให้เธอกิน พ่อแม่ของเด็กดีใจมาก แต่พระเยซูสั่งพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง » (ลูกา 8:49-56)
พระเยซูคริสต์ฟื้นคืนชีพเพื่อนลาซารัสผู้ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อสี่วันก่อน: « พระเยซูยังไม่ได้เข้าหมู่บ้าน ท่านยังอยู่ตรงที่ที่มาร์ธาไปหา เมื่อคนยิวที่ปลอบใจมารีย์อยู่ในบ้านเห็นเธอรีบออกไป พวกเขาก็ตามไปด้วย เพราะคิดว่าเธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ เมื่อมารีย์ได้พบพระเยซู เธอก็หมอบลงแทบเท้าท่านแล้วพูดว่า “นายคะ ถ้าท่านอยู่ที่นี่ เขาคงไม่ตาย” เมื่อพระเยซูเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย ท่านก็เศร้าและสะเทือนใจ ท่านถามว่า “พวกคุณฝังศพเขาไว้ที่ไหน?” พวกเขาตอบว่า “ตามมาดูสิ นายท่าน” แล้วพระเยซูก็ร้องไห้น้ำตาไหล พวกยิวเห็นอย่างนั้นก็พูดกันว่า “ดูสิ เขารักลาซารัสมากจริง ๆ” แต่มีบางคนพูดว่า “ผู้ชายคนนี้เคยทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ แล้วเขาทำให้คนนี้รอดตายไม่ได้หรือ?”
เมื่อใกล้ถึงอุโมงค์ฝังศพ พระเยซูก็รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาอีก อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำและมีหินปิดปากถ้ำไว้ พระเยซูสั่งว่า “เลื่อนหินออกไปสิ” มาร์ธาซึ่งเป็นพี่น้องกับผู้ตายบอกท่านว่า “นายคะ ป่านนี้ศพคงเหม็นแย่แล้ว เพราะตายมาตั้ง 4 วันแล้ว” พระเยซูบอกเธอว่า “ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าคุณเชื่อ คุณจะได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า?” พวกเขาจึงเลื่อนหินที่ปิดปากถ้ำออก แล้วพระเยซูก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า และพูดว่า “พ่อครับ ผมขอบคุณที่พระองค์ฟังคำขอร้องของผม ผมรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ฟังผมเสมอ แต่ที่ผมขอคราวนี้ก็เพื่อคนที่ยืนอยู่รอบ ๆ พวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ใช้ผมมา” เมื่อพูดจบแล้ว ท่านก็ร้องเรียกเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมา” ลาซารัสที่ตายไปแล้วก็เดินออกมาทั้ง ๆ ที่ยังมีผ้าพันมือและเท้าอยู่ และที่หน้าก็มีผ้าพันไว้ด้วย พระเยซูสั่งพวกเขาว่า “เอาผ้าพวกนั้นออกให้เขาหน่อย เขาจะได้เดินสะดวก”” (จอห์น 11:30-44)
การประมงปาฏิหาริย์ล่าสุด (ไม่นานหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์): « ตอนเช้าตรู่ พระเยซูยืนอยู่บนฝั่ง แต่พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู แล้วพระเยซูตะโกนถามพวกเขาว่า “ลูก ๆ มีอะไรกินบ้างไหม?” พวกเขาตอบว่า “ไม่มีเลย” พระเยซูพูดว่า “หย่อนอวนลงทางขวาของเรือสิ แล้วจะได้ปลา” พวกเขาก็หย่อนอวนลง แล้วได้ปลามากมายจนดึงขึ้นมาบนเรือไม่ไหว สาวกคนที่พระเยซูรัก จึงพูดกับเปโตรว่า “นั่นนายของเรานี่” พอซีโมนเปโตรได้ยินว่าคนนั้นคือผู้เป็นนาย ก็หยิบเสื้อมาใส่แล้วกระโดดลงน้ำเพราะตอนนั้นเขาถอดเสื้ออยู่ แต่สาวกคนอื่น ๆ เอาเรือเล็กลำนั้นลากอวนที่มีปลาอยู่เต็มเข้าฝั่ง พวกเขาอยู่ไม่ห่างฝั่ง แค่ประมาณ 90 เมตร » (ยอห์น 21:4-8)
พระเยซูคริสต์ทรงทำปาฏิหาริย์อื่น ๆ อีกมากมาย พวกเขาเสริมสร้างศรัทธาของเราหนุนใจเราและมองเห็นพรมากมายที่จะเกิดขึ้นบนโลก ถ้อยคำที่เป็นลายลักษณ์อักษรของอัครสาวกจอห์นสรุปปาฏิหาริย์จำนวนมหาศาลที่พระเยซูคริสต์ทำเพื่อรับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนโลก: « ที่จริง พระเยซูยังทำอะไรอีกมากมาย ถ้าจะเขียนไว้ทั้งหมดละก็ ผมคิดว่าโลกนี้คงไม่มีที่พอจะเก็บม้วนหนังสือทั้งหมดนั้นได้ » (จอห์น 21:25)
***
บทความศึกษาพระคัมภีร์อื่นๆ:
พระวจนะของพระองค์เป็นโคมส่องเท้าของข้าพเจ้าและเป็นความสว่างส่องทางของข้าพเจ้า(สดุดี 119:105)
การเฉลิมฉลองการรำลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
ทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้เกิดความทุกข์และความชั่วร้าย?
ก่อนเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่จะต้องทำอย่างไร?
Other Asiatic Languages:
Khmer (Cambodian): ប្រធានបទសិក្សាព្រះគម្ពីរចំនួនប្រាំមួយ
Laotian: ຫົກຫົວຂໍ້ການສຶກສາຄໍາພີ
Myanmar (Burmese): ကျမ်းစာလေ့လာမှုခေါင်းစဉ်ခြောက်ခု
Vietnamese: Sáu Chủ Đề Nghiên Cứu Kinh Thánh
Tagalog (Filipino): Anim na Paksa sa Pag-aaral ng Bibliya
Indonesian: Enam Topik Studi Alkitab
Javanese: Enem Topik Sinau Alkitab
Malaysian: Enam Topik Pembelajaran Bible
สารบัญฉบับย่อในกว่าเจ็ดสิบภาษา แต่ละบทความประกอบด้วยบทความพระคัมภีร์สำคัญหกบทความ…
Table of contents of the http://yomelyah.fr/ website
อ่านพระคัมภีร์ทุกวัน เนื้อหานี้ประกอบด้วยบทความพระคัมภีร์ที่ให้ความรู้ในภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน และโปรตุเกส (เลือกภาษาและใช้ « Google Translate » พร้อมภาษาที่คุณต้องการเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหา)…
***